ทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูล
(Information
Processing Theory)
ทิศนา แขมมณี (2547 : 80-85)
ได้รวบรวมทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูลไว้ดังนี้
ก. ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูล
เป็นทฤษฎีที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์
โดยให้ความสนใจเกี่ยวกับการทำงานของสมอง ทฤษฎีนี้เริ่มได้รับความนิยมมาตั้งแต่ปี
ค.ศ. 1950 จวบจนปัจจุบัน โดยมรผู้เรียกชื่อในภาษาไทยหลายชื่อ เช่น ทฤษฎีการประมวลข้อมูลข่าวสาร
ทฤษฎีการประมวลข้อมูลสารสนเทศ ฯลฯ ในที่นี้ผู้เขียนขอเรียกว่า
ทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูล เพราะคิดว่า
มีความหมายตรงกับทฤษฎีและเข้าใจง่าย ทฤษฎีนี้มีแนวคิดว่า การทำงานของสมองมนุษย์มีความคล้ายคลึงกับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
คลอสเมียร์ (Klausmeier, 1985: 52-108)
ได้อธิบายการเรียนรู้ของมนุษย์โดยเปรียบเทียบการทำงานของคอมพิวเตอร์กับการทำงานของสมอง
ซึ่งมีการทำงานเป็นขั้นตอนดังนี้คือ
1.
การรับข้อมูล (input) โดยผ่านทางอุปกรณ์หรือเครื่องรับข้อมูล
2.
การเข้ารหัส (encoding) โดยอาศัยชุดคำสั่งหรือซอฟต์แวร์
(software)
3.
การส่งข้อมูลออก (output) โดยผ่านทางอุปกรณ์
คลอสเมียร์
ได้อธิบายกระบวนการประมวลข้อมูลโดยเริ่มต้นจากการที่มนุษย์รับสิ่งเร้าเข้ามาทางประสาทสัมผัสทั้ง
5 สิ่งเร้าที่เข้ามาจะได้รับการบันทึกไว้ในความจำระยะสั้น ซึ่งการบันทึกนี้จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ
2 ประการคือ การรู้จัก (recognition) และความใส่ใจ
(attention) ของบุคคลที่รับสิ่งเร้า บุคคลจะเลือกรับสิ่งเร้าที่ตนรู้จักหรือมีความสนใจ
สิ่งเร้านั้นจะได้รับการบันทึกลงในความจำระยะสั้น (short-term memory) ซึ่งจะดำรงอยู่ในระยะเวลาที่จำกัดมาก แต่ละบุคคลมีความสามารถในการจำระยะสั้นที่จำกัด
ในการทำงานที่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลไว้ชั่วคราว อาจจำเป็นต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ
ในการจำช่วย เช่น การจัดกลุ่มคำ หรือการท่องซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง
ซึ่งจะสามารถช่วยให้จดจำสิ่งนั้นไว้ใช้งานได้ การเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภายหลัง สามารถทำได้โดยข้อมูลนั้นจำเป็นต้องได้รับการประมวลและเปลี่ยนรูปโดยการเข้ารหัส
(encoding) เพื่อนำไปเก็บไว้ในความจำระยะยาว (long
term memory) ซึ่งอาจต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ เข้าช่วย เช่น
การท่องซ้ำหลายๆ ครั้ง หรือการทำข้อมูลให้มีความหมายกับตนเอง ความจำระยะยาวนี้มี 2
ชนิด คือ ความจำที่เกี่ยวกับภาษา (semantic) และความจำที่เกี่ยวกับเหตุการณ์
(episodic) นอกจากนั้นยังอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
ความจำประเภทกลไกที่เคลื่อนไหว (motoric memory) หรือความจำประเภทอารมณ์
ความรู้สึก (affective memory) เมื่อข้อมูลข่าวสารได้รับการบันทึกไว้ในความจำระยะยาวแล้ว
บุคคลจะสามารถเรียกข้อมูลต่าง ๆ ออกมาใช้ได้
กระบวนการรู้คิดในกรอบทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูล (metacognitive knowledge) ประกอบไปด้วยความรู้เกี่ยวกับบุคคล
(person) งาน (task) และกลวิธี
(strategy)
1. ความรู้เกี่ยวกับบุคคล
(person) ประกอบไปด้วยคงามรู้ความเชื่อเกี่ยวกับความแตกต่างภายในตัวบุคคล
ความแตกต่างระหว่างบุคคล และลักษณะสากลของกระบวนการรู้คิด
2. ความรู้เกี่ยวกับงาน
(task) ประกอบไปด้วยความรู้เกี่ยวกับขอบข่ายของงาน
ปัจจัยเงื่อนไขของงาน และลักษณะของงาน
3. ความรู้เกี่ยวกับกลวิธี
(strategy) ประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับกลวิธีการรู้
คิดเฉพาะด้านและโดยรวม และประโยชน์ของกลวิธีนั้นที่มีต่องานแต่ละอย่าง
ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
แพริสและคณะ (1983) ได้จำแนกความรู้ในเชิงเมตาคอคนิชั่นออกเป็น 3 ประเภท
เช่นเดียวกัน ได้แก่
1.
ความรู้ในเชิงปัจจัย (declarative knowledge) คือ ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่องาน
2.
ความรู้เชิงกระบวนการ (procedural knowledge) คือ
ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการและวิธีการต่าง ๆ ในการดำเนินงาน
3.
ความรู้เชิงเงื่อนไข (conditional knowledge) คือ ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ ข้อจำกัด เหตุผล
และเงื่อนไขในการใช้กลวิธีต่าง ๆ และการดำเนินงาน
ข.
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการเรียนการสอน
ทฤษฎีที่กล่าวไว้ข้างต้นเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนหลายประการดังนี้
1. เนื่องจากการรู้จัก (recognition) มีผลต่อการรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หากเรารู้จักสิ่งนั้นมาก่อนเราก็มักจะเลือกรับรู้สิ่งนั้น
และนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำต่อไป การที่บุคคลจะรู้จักสิ่งใดก็ย่อมหมายความว่า
บุคคลรู้หรือเคยมีประสบการณ์กับสิ่งนั้นมาก่อน
ดังนั้นการนำเสนอสิ่งเร้าที่ผู้เรียนรู้จักหรือมีข้อมูลอยู่แล้วจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนหันมาใส่ใจและรับรู้สิ่งนั้น
ซึ่งผู้สอนสามารถเชื่อมโยงไปถึงสิ่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นได้
2. เนื่องจากความใส่ใจ (attention) เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการรับรู้ข้อมูลเข้ามาไว้ในความจำระยะสั้น
ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอน
จึงควรจัดสิ่งเร้าในการเรียนรู้ให้ตรงกับความสนใจของผู้เรียน
เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนใส่ใจและเราคือสิ่งนั้น
และนำไปเก็บบันทึกไว้ในความจำระยะสั้นต่อไป
3. เนื่องจากข้อมูลที่ผ่านการรับรู้แล้ว
จะถูกนำไปเก็บไว้ในความทรงจำระยะสั้น ซึ่งนักจิตวิทยาการศึกษาพบว่า จะคงอยู่เพียง 15
ถึง 30 วินาทีเท่านั้น
ดังนั้นหากต้องการที่จะจำสิ่งนั้นนานกว่านี้ เพราะจำเป็นต้องใช้วิธีการต่าง ๆ ช่วย
เช่น การท่องซ้ำกันหลายๆครั้ง หรือการจัดสิ่งที่จำให้เป็นหมวดหมู่ ง่ายแก่การจำ
เป็นต้น
4. หากต้องการจะให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระใด
ๆ ได้เป็นเวลานาน สาระนั้นจะต้องได้รับการเข้ารหัส (encoding) เพื่อนำไปเข้าหน่วยความจำระยะยาว วิธีการเข้ารหัสสามารถทำได้หลายวิธี
เช่น การท่องจำซ้ำ ๆ การทบทวน
5. ข้อมูลที่ถูกนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำระยะสั้นหรือระยะยาวแล้ว
สามารถเรียกออกมาใช้งานได้โดยผ่าน "effector” ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นพฤติกรรมทางวาจาหรือการกระทำ
ซึ่งทำให้บุคคลแสดงความคิดเห็นภายในออกมาเป็นพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้
6. เนื่องจากกระบวนการต่าง
ๆ ของสมองหลักการควบคุมโดยหน่วยบริหารควบคุมอีกชั้นหนึ่ง
ซึ่งเปรียบได้กับโปรแกรมสั่งงานซึ่งเป็น “software” ของเครื่องคอมพิวเตอร์
ดังนั้นการที่ผู้เรียนรู้ตัวและรู้จักการบริหารควบคุมกระบวนการทางปัญญาหรือกระบวนการคิดของตนก็จะสามารถทำให้บุคคลนั้นสามารถสั่งงานให้สมองกระทำการต่าง
ๆ อันจะทำให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้ได้ เช่น หากผู้เรียนรู้ตัวว่าเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งไม่ได้ดี
เพราะไม่ชอบครูที่สอนวิชานั้น ผู้เรียนก็อาจหาทาง ปัญหานั้นได้
โดยสร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง หรือใช้เทคนิคกลวิธีต่าง ๆ เข้าช่วย
ทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูลนี้ แม้จะได้รับความสนใจมาแล้วกว่า 50 ปี แต่ก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน
และกำลังมีการศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องเพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติมขึ้นอีก
เพจโค่นข้อสอบครู โดยอาจารย์อ๊อฟ (2560)
ได้กล่าวถึงทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูลไว้ดังนี้
ทฤษฎีนี้มีแนวคิดว่า
การทำงานของสมองมนุษย์มีความคล้ายคลึงกับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
หลักการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดนี้
คือ การนำเสนอสิ่งเร้าที่ผู้เรียนรู้จักหรือมีข้อมูลอยู่
จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนหันมาใส่ใจและรับรู้สิ่งนั้น จัดสิ่งเร้าในการเรียนรู้ให้ตรงกับความสนใจของผู้เรียน
สอนให้ฝึกการจำโดยใช้วิธีที่หลากหลาย หากต้องการให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระใด ๆ
ได้เป็นเวลานาน สาระนั้นจะต้องได้รับการเข้ารหัส เพื่อนำไปเข้าหน่วยความจำระยะยาว
วิธีการเข้ารหัสสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การท่องจำซ้ำ ๆ การทบทวน หรือการใช้กระบวนการขยายความคิด
เลิศชาย
ปานมุข (2558)
ได้กล่าวถึงทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูลไว้ว่า เป็นทฤษฎีที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์
โดยให้ความสนใจเกี่ยวกับการทำงานของสมอง ทฤษฎีนี้มีแนวคิดว่า การทำงานของสมองมนุษย์มีความคล้ายคลึงกับการทำงานของคอมพิวเตอร์
สรุป
จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลสรุปได้ว่าทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูล
(Information
Processing Theory) เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับการพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์
การทำงานของสมองมนุษย์มีความคล้ายกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ก็คือโปรแกรมสั่งงานหรือซอฟต์แวร์
โดยมีขั้นตอนดังนี้ การรับข้อมูล
การเข้ารหัส และการส่งข้อมูลออก การที่บุคคลสามารถควบคุมการคิดของตนให้เป็นไปในทางที่ต้องการเรียกว่า
การรู้คิด ซึ่งการรู้คิดนี้มีความรู้ย่อย ๆ ที่สำคัญคือ ความรู้เกี่ยวกับบุคคล งาน
และกลวิธี สำหรับการจัดการเรียนการสอนควรนำเสนอสิ่งเร้าที่ผู้เรียนรู้จักหรือมีข้อมูลอยู่
จัดสิ่งเร้าในการเรียนรู้ให้ตรงกับความสนใจของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนหันมารับรู้สิ่งนั้น
สามารถเชื่อมโยงความรู้ได้ และหากต้องการให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหา ต้องใช้วิธีการต่าง
ๆ เช่นการท่องจำซ้ำกันหลาย ๆ ครั้ง การทบทวน การจัดหมวดหมู่ให้ง่ายแก่การจำ
นอกจากนั้นผู้เรียนต้องรู้จักการควบคุมกระบวนการทางปัญญาหรือกระบวนการคิดของตน
เพื่อให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้ได้
ที่มา
ทิศนา แขมมณี. (2547). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มี
ประสิทธิภาพ.
พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เพจโค่นข้อสอบครู โดยอาจารย์อ๊อฟ. (2560).
https://www.facebook.com/khonkhosobkru/posts/841062609385952.
[Online] เข้าถึงเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2561.
เลิศชาย ปานมุข. (2558). http://www.lertchaimaster.com/forum/index.php?topic=36.0.
[Online] เข้าถึงเมื่อวันที่ 22
กรกฎาคม 2561.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น